cooling darliekim

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มหาตะมะ คานธี

"มีกฎหมายที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ฉบับหนึ่ง ที่ปกครองทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกผู้ที่เกิดขึ้นและมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธกฎหมายหรือผู้ให้กฎหมายนั้น เพราะข้าพเจ้ารู้จักสิ่งเหล่านั้นน้อยมาก พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงปกครองจิตใจและเปลี่ยนแปลงมัน ผู้ที่ตระหนักถึงความมีอยู่จริงอันแท้จริงของพระองค์ จึงจะรับรู้กระบวนการเปลี่ยนแปลงในจิตใจ"

มหาตมะ คานธี

หากแต่มีชาติที่ต้องการความอดทน ขันติ แรงบันดาลใจอันศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญที่มีชีวิต นั้นคืออินเดีย ซึ่งตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิอังกฤษมานานหลายศตวรรษ ไม่น่าเชื่อที่ชายผู้เป็นนักบุญปรากฏขึ้น เขาจะนำคนหลายร้อยล้านคนซึ่งทุกข์ทรมานในอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่เป็นที่สองของโลก ออกจากอาณานิคมสู่สถานะที่มีเกียรติในสังคมโลก เขาทำมันโดยไม่มีตำแหน่งสำคัญในประเทศ และเขาถูกสังหารจากความทุ่มเทที่ยิ่งใหญ่นี้ เขาไม่ได้ถูกเลือกให้เป็นอะไรเลย เขาไม่เคยลงสมัครเลย แต่เขาก็เป็นพลังหลักสำหรับผู้คนทั่วอินเดีย

โมฮันดาส เค. คานธี เกิดเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 1869 เขาถือกำเนิดขึ้นในดินแดนอันลี้ลับและเก่าแก่ เขามองชีวิตของตนเป็นดั่งการแสวงความจริงอันสูงสุด เป็นการวิวัฒน์ที่ไม่หยุดยั้ง การแสวงหาวิธีคิดและการใช้ชีวิตที่ปรับเปลี่ยนไป เขาเรียกอัตชีวประวัติของตัวเองว่า "เรื่องราวการทดลองสัจธรรมของข้าพเจ้า" การเดินทางอันยาวนานไปสู่กระบวนการเปลี่ยนผ่านของตัวตนเขาเริ่มขึ้นในปี 1869 จากบ้านของชนชั้นกลางในเมืองท่าของอินเดียที่ชื่อ 'ปอเวนเดอร์'

ตั้งแต่เด็กนั้น...คานธีได้รับการปลูกฝังแบบอย่างของความเป็นคนที่มีวินัยและการอุทิศตนอย่างเคร่งครัด มารดาของเขาซึ่งเป็นผู้ที่เคร่งในศาสนามาก มักถือศีลอดอาหารเป็นเวลานานอยู่เนืองๆ ครั้งหนึ่งในฤดูฝน นางปฏิญาณตนว่าจะไม่กินอะไรเลยจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้น

เขาและสมาชิกอื่นๆ ในครอบครัวจะเฝ้ามองดูทางหน้าต่าง พวกเขาต้องการให้แม่กินอาหาร เพราะแม่กำลังอด แต่แม่ท่านบอกว่าไม่ต้องห่วง ท่านสบายดีทุกอย่าง ถ้าหากพระเป็นเจ้าไม่ต้องการให้ท่านกินในวันนี้ ท่านก็จะไม่กิน

เขาศรัทธาความเคร่งของแม่ แต่ยังไม่พร้อมจะทำตาม...

ความที่เป็นลูกคนเล็กในบรรดาพี่น้อง 4 คน เขาจึงใช้ชีวิตวัยเด็กแบบเกเร อย่างเช่น ขโมยเศษเงินไปซื้อบุหรี่ แต่ด้วยความกลัวบิดา ซึ่งเป็นนักการเมืองผู้มีชื่อเสียงของท้องถิ่น เขาจึงรับสารภาพว่าตนเป็นผู้ขโมย แต่แทนที่บิดาจะลงโทษ ท่านกลับโอบกอดเขา ในฐานะที่กล้าพูดความจริง แล้วทั้งสองคนก็ร้องไห้ด้วยกัน

เขาบันทึกไว้ในชีวประวัติว่า น้ำตานั้นเป็นเหมือนที่สิ่งที่ชำระล้างความสกปรกของจิตใจออกไป ถ้าคุณสร้างวินัยแบบนี้โดยผ่านทางความรัก มันเท่ากับสร้างมนุษยธรรมขึ้นในจิตใจ และนั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคานธี

เมื่อ...อายุได้ 13 ปี เพื่อทำตามประเพณีของชาวฮินดู คานธีจึงเข้าพิธีสมรสกับเด็กสาวอายุเท่ากันที่ชื่อ คาสตวา ในช่วงแรกเขาเป็นสามีขี้หึงและเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

เมื่ออายุ 16 ปี เขาเผชิญกับความขัดแย้งอันยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรก ระหว่างหน้าที่กับความปรารถนา ในคืนหนึ่ง...ขณะพยาบาลบิดาที่ป่วยอยู่ เขาก็แอบหนีขึ้นไปหลับนอนกับภรรยา ตอนนั้นเองที่พ่อของเขาเสียชีวิตลง คนใช้มาแจ้งให้ท่านทราบว่าคุณพ่อเสียชีวิตแล้ว สำนึกแรกของเขาบอกว่า ตายแล้ว...เราทำอะไรลงไป... นับตั้งแต่นั้นมาคานธีมักจะพูดถึงเหตุการณ์นั้นตอนที่ท่านละทิ้งพ่อ เวลาที่ท่านไม่ทำหน้าที่ของท่านให้ดีอยู่เสมอ แล้วมันก็กลายเป็นสำนึกในเรื่องของหน้าที่และความรับผิดชอบของเขา

เมื่ออายุ 17 ปี คานธีทิ้งภรรยาและครอบครัวไว้เบื้องหลัง เพื่อเข้าเรียนกฎหมายที่กรุงลอนดอน ด้วยความขลาดเขลาและไร้เดียงสา เขารู้สึกว่าความอึกทึกของเมืองใหญ่เป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก

เขาไม่รู้จักของทันสมัยอย่าง "ลิฟต์" เขาเดินเข้าไปเพราะคิดว่าเป็นห้องในโรงแรม และทันใดนั้นห้องก็เลื่อนขึ้น เขาก็ตกใจว่าตัวเองลอยขึ้นไป...

ในช่วงเวลานั้น ความหวังสูงสุดของเขาก็คือ การได้เป็นสุภาพบุรุษอังกฤษ... เขาสวมหมวก Top Hat ถือไม้เท้าหัวเลี่ยมเงิน เรียนเต้นรำ สีไวโอลิน และเรียนภาษาฝรั่งเศส ทว่าความสามารถพิเศษใดๆ ก็ไม่อาจลบความอ่อนหัดและความประหม่าของเขาลงไปได้ แม้เมื่อได้ปริญญาทางกฎหมายแล้ว เขาก็ยังไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง ภายหลังเขาบันทึกไว้ว่า "ความรู้สึกไร้ความเชื่อมั่นและความหวาดกลัวของข้าพเจ้าไม่มีวันสิ้นสุด"

เขากลับมาอินเดียรับว่าความคดีแรก และพบว่าเมื่ออยู่ในศาลเขาไม่สามารถเปิดปากพูดต่อหน้าผู้พิพากษาได้ เขากลัวและเศร้ากับเรื่องเช่นนี้มาก...

ด้วยความอาย...เขาจึงเริ่มมองหาทางหนี และทางออกที่มีก็คือการเสนอตำแหน่งงานจากแอฟริกาใต้

คานธีบอกไว้ว่า "ในดินแดนซึ่งพระเป็นเจ้าทรงคุ้มครองแห่งนั้นเอง ที่ข้าพเจ้าค้นพบพระเป็นเจ้าของตนเอง"

ไม่นานหลังมาถึงประเทศใหม่ เขาประสบเหตุการณ์ซึ่งสร้างความสะเทือนใจอย่างรุนแรง ความที่ไม่ทราบว่ามีการเลือกปฏิบัติต่อชาวอินเดียในแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เขาจึงจองที่นั่งชั้นหนึ่งบนรถไฟไปยัง 'เพลย์โทเนีย'

ผู้โดยสารผิวขาวเห็นคานธีเข้า ก็ไปต่อว่าพนักงาน และก็บอกให้ย้ายเขาไปนั่งชั้นสามถือแม้ว่าเขาจะถือตั๋วชั้นหนึ่งก็ตาม แต่คานธีไม่ยอม พอถึงสถานีแรกที่รถจอดเขาก็โดนผู้คุมโยนลงจากรถไฟ ความอับอายครั้งนั้นถือเป็นสิ่งที่จุดประกายให้เขาอยากเปลี่ยนแปลง เขาใช้เวลาทั้งคืนนั่งอยู่ที่ชานชาลา คิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้ความยุติธรรม

คานธีพูดถึงคืนอันหนาวเหน็บนั้นให้ฟังในเวลาต่อมาว่า เป็นประสบการณ์ที่สร้างสรรค์ที่สุดในชีวิต

เขาคิดจะกลับไปอินเดียแต่ปฏิเสธความคิดนั้นเพราะเห็นว่าเป็นการขี้ขลาด เขาคิดว่าจะยอมรับความไม่เท่าเทียมกันนั้นแต่ก็ขัดกับความรู้สึกของตนเอง เขาคิดว่าจะใช้กำลังเข้าต่อสู้ แต่ก็ต้องล้มเลิกเพราะไม่สมควร ทางเลือกเพียงอย่างเดียวที่เหลือก็คือ 'อยู่และต่อต้าน'

ในวันรุ่งขึ้น...เขาจับรถไปอีกขบวน สัปดาห์ต่อมาเขาจัดประชุมผู้อพยพชาวอินเดียขึ้น ด้วยวัย 24 ปี ความคิดอ่านของคานธีเติบโตเกินตัว เพื่อจะฝ่าฟันอุปสรรคซึ่งใหญ่ขึ้น

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีความหมาย เขาต้องอยู่ต่อไป ต้องต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวอินเดีย และในท้ายที่สุดเพื่อสิทธิของคนผิวดำทุกคน และนั้นคือจุดเริ่มต้นของมหาตมะ เมื่อคานธี เริ่มวิวัฒน์ตัวเองเป็นมหาตมะผู้ยิ่งใหญ่

ทฤษฎีสัมพันธภาพ(Albert Einstein)



เกิด วันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1879 ที่เมืองอูล์ม (Ulm) ประเทศเยอรมนี (Germany)
เสียชีวิต วันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ.1955 ที่เมืองนิวเจอร์ซี่ (New Jersey) ประเทศสหรัฐอเมริกา (United State of America)
ผลงาน - ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory of Relativity)
- ค้นพบทฤษฎีการแผ่รังสี (Photoelectric Effect Theory)
- ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ ในปี ค.ศ.1921

ไอน์สไตน์เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1879 ที่เมืองอูล์ม ประเทศเยอรมนี ไอน์สไตน์เป็นชาวเยอรมันแต่ก็มีเชื้อสายยิวด้วย บิดาของไอน์สไตน์เป็นเจ้าของร้านจำหน่ายเครื่องยนต์และสารเคมี ชื่อว่า เฮอร์แมน ไอน์สไตน์ (Herman Einstein) ต่อมาเมื่อ ไอน์สไตน์อายุได้ 1 ขวบ บิดาได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองมิวนิค ซึ่งคนส่วนใหญ่ในเมืองเป็นชาวยิวเช่นเดียวกับเขา ทำให้เขาไม่มีปัญหากับเพื่อนบ้าน ไอน์สไตน์เป็นเด็กที่เงียบขรึม และมักไม่ค่อยชอบออกไปเล่นกับเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน จนบิดาเข้าใจว่าเขาเป็นคนโง่ จึงได้จ้างครูมาสอนพิเศษให้กับไอน์สไตน์ที่บ้าน โดยเฉพาะเรื่องการพูด ถึงแม้ว่าการพูดของเขาจะดีขึ้น แต่เขาก็ยังเงียบขรึม และไม่ออกไปเล่นกับเพื่อนเหมือนเช่นเคย เมื่อไอน์สไตน์อายุได้ 5 ขวบ บิดาได้ส่งเข้าโรงเรียนที่ยิมเนเซียม (Gymnasium) นักเรียน ในโรงเรียนแห่งนี้ทั้งหมดเป็นชาวเยอรมัน และนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก ถึงอย่างนั้นไอน์สไตน์ก็เข้ากับเพื่อนได้ดี แต่สิ่งที่เขาไม่ชอบมากที่สุดในโรงเรียนก็คือการสอนที่น่าเบื่อหน่าย ที่ใช้วิธีการท่องจำเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีการที่เขาเกลียดที่สุด
ทำให้ไอน์สไตน์ไม่อยากไปโรงเรียน มารดาจึงหาวิธีแก้ปัญหาให้ไอน์สไตน์ โดยการให้เขาเรียนไวโอลินและเปียโนแทน แต่วิชาที่ไอน์สไตน์ให้ความสนใจมากที่สุดคือ คณิตศาสตร์ โดยเฉพาะวิชาเรขาคณิตเป็นวิชาที่เขาชอบมากที่สุด ทำให้เขาละทิ้งวิชาอื่นยกเว้นวิชาดนตรี และเรียนวิชาอื่นได้แย่มาก แม้ว่าจะทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ได้ดีมาก เขาก็มักจะถูกครูตำหนิอยู่เสมอ

กาลาปาโกสของมหาสมุทรอินเดีย



Socotra Island (Indian Ocean)
ไม่น่าเชื่อว่านี้คือเกาะบนโลกมนุษย์ เพราะว่ามันช่างเหมือนบนดาวเคราะห์ที่มีแต่สิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดจริงๆ เกาะโซโคตร้า เป็นหมู่เกาะเล็กๆ ภายใต้เยเมน
ที่ปลายติ่งแหลมของทวีปแอฟริกา อยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ห่างจากประเทศโซมาเลีย 250 กิโลเมตร

เป็นเกาะใหญ่ที่สุดในจำนวน 4 เกาะสังกัดหมู่เกาะ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปเมื่อ กรกฏาคม 2008 สภาพภูมิอากาศที่ร้อนอบอ้าว และแห้งแล้ง ลักษณะภูมิประเทศ ที่เป็นภูเขาอันแปลกตาแปลกใจ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยสีฟ้าและเขียวจากธรรมชาติ แต่สิ่งที่แปลกที่สุดคือมันเป็นสถานที่รวมแห่งพืชพรรณแปลกประหลาดหลายชนิด ต้นไม้รูปทรงแปลก ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่รอดได้อายุกว่า 20 ล้านปี การแยกโดดเดี่ยวทำให้เกาะโซโคตร้า มีกลุ่มพืชและสัตว์ “หนึ่งไม่มีสอง”
ในโลก 37% ในจำนวนพืช 825 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 90% และสัตว์น้ำมีเปลือกชนิดต่างๆ 95% ที่ไม่สามารถพบเห็น ม่ว่าสถานที่อื่นใดโลก เช่น ต้น “กุหลาบแห่งทะเลทราย (Desert Rose)” ต้น dragon’s blood (เลือดมังกร) ที่ว่ากันว่ามีสรรพคุณรักษาได้สารพัดโรค จึงไม่มีอะไรน่าแปลกใจที่เกาะแห่งนี้จะถูกขนามนามว่า
“กาลาปาโกสของมหาสมุทรอินเดีย”

อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln)ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา



อับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา (ดำรงตำแหน่งปี ค.ศ. 1861-1865)

เหมือนคนที่เป็นที่รักของมวลชนส่วนใหญ่ ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา อับราฮัม ลินคอล์น มีฉายาอยู่มากมาย อย่าง “ผู้ปลดปล่อย” (The Great Emancipator) “คนตัดไม้” (The Rail Splitter) และ “เอ๊บผู้ซื่อสัตย์” (Honest Abe) แล้วถ้าจะให้ฉายาว่า “นายช่าง” (The Repairman) ล่ะ เพราะเมื่อประเทศของเราแตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ เอบ ลินคอล์น เป็นชายที่เข้ามาช่วยผสานรอยร้าวของประเทศ

เหม๋า เจ๋อ ตุง

เหมา เจ๋อ ตุง

เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2436 มณฑลหูหนาน ประเทศจีน ถึงแก่อสัญกรรม 9 กันยายน พ.ศ. 2519 (อายุ 82 ปี) กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน สังกัดพรรค พรรคคอมมิวนิสต์จีน

เป็นบุตรชายในตระกูลชาวนาเจ้าของที่ดิน จบการศึกษาจากวิทยาลัยฝึกหัดครู ก่อนจะเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลังจากถูกปราบปรามโดยนายพลเจียง ไคเชกเหมาฯ ได้ขึ้นมาเป็นประธานของคณะโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง ประเทศจีน ภายใต้การปกครองของเหมา เจ๋อตง พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้ชนะสงครามกลางเมืองจีน และปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ได้

เหมา เจ๋อตงได้ประกาศตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492 (ค.ศ. 1949) ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเหมา ได้นำประเทศเข้าเป็นพันธมิตรกับสหภาพโซเวียต ก่อนจะแยกตัวมาภายหลัง เขายังเป็นผู้นำให้เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมเหมาได้รับการยกย่องให้รวมประเทศ จีนเป็น ปึกแผ่นอีกครั้ง หลังจากตกอยู่ใต้อิทธิพลของต่างชาติตั้งแต่สงครามฝิ่น ในประเทศเขาถูกเรียกว่า ประธานเหมา (Chairman Mao) แต่ เขาปกครองประเทศจีน และก็มีป้ายปรากฏคำวิพากษ์วิจารณ์ต่อพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นครั้งสุดท้ายที่เหมาจะขอความคิดเห็นกับประชาชนจีน ไม่ช้าหลังจากนั้นเขาก็กำจัดคนที่ออกมาพูดอย่างอำมหิต คนหลายแสนคนถูกระบุว่าเป็นพลเรือนฝ่ายขวาและถูกไล่ออกจากงานคน หลายหมื่นคนถูกส่งเข้าคุก แต่เหมาไม่สนใจอีกต่อไป เขาแวดล้อมด้วยลูกขุนพลอยพยักและมีอิสระที่จะดำเนินตามความคิด ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะคาดเดาปลายทางได้ ปี พ.ศ. 2501 เหมาออกจากปักกิ่งไปเยือนชนบท เขาหมดความอดทนกับความเปลี่ยนแปลงที่ล่าช้า และกังวลว่าการปฏิวัติจะสูญเสียความต่อเนื่อง เขารู้สึกว่าถึงเวลาเปลี่ยนแปลงประเทศ ฤดูหนาว ปี พ.ศ. 2502 ผลจากความทะเยอทะยานของเหมา ทำให้จีนตกอยู่ในภาวะลำบาก คนทั้งหมู่บ้านเสียชีวิตด้วยความอดอยากเมื่อประชาชนไม่มีอะไรจะกิน เขาก็กินร่างของคนที่เพิ่งตาย ไม่มีใครทราบว่าลัทธิการกินเนื้อมนุษย์ได้แพร่ขยายไปอย่างไร แต่ผู้คนราว 40 ล้านคนต้องเสียชีวิตด้วยความหิวโหย ระหว่างปี พ.ศ. 2502 - 2504 ความสับสนกระจายไปทั่วจีนราวกับพายุขบวนการร้ายกาจถูกตั้งขึ้นเพื่อกำจัดผู้ ที่เป็นกลางทางการเมือง ขบวนการร้ายกาจครอบงำไปทั้งประเทศ ปลายยุค พ.ศ. 2503 มีประชากรมากกว่า 1 ล้านคนถูกฆ่าหรือถูกจำคุกโดยขบวนการร้ายกาจ ขบวนการร้ายกาจถูกปลดหลังจากหลายปีแห่งความวุ่นวายในจีน ตอนนี้เหมาหาวิธีการที่จะเปิดประเทศจีนสู่ประชาคมโลก เป็นการริเริ่มที่สำคัญครั้งสุดท้ายของเขาด้วยลักษณะนิสัยที่ไม่เกรงกลัว สิ่งใด เขาหันเข้าหาศัตรูคือ สหรัฐอเมริกา โดยปี พ.ศ. 2515 เขาได้เชิญประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันแห่งอเมริกา มาที่ปักกิ่ง เพื่อเข้าร่วมการประชุม เป็นการสนทนาครั้งแรกของทั้งสองประเทศในช่วงเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ แต่สุขภาพเหมาก็แย่ลง 18 กันยายน พ.ศ. 2519 เขาเสียชีวิตด้วยอายุ 83 ปี แต่เบื้องหลังความนิ่งเงียบของเขาทำให้เรารู้ว่าเขาอยู่เบื้องหลังการประหาร ประชากรร่วมชาติกว่า 10 ล้านคน

ช่วงที่เป็นผู้นำกองทัพแดง

ขณะ ที่เหมาเจ๋อตงกล้าหาญทำสงครามกับทหารรัฐบาลที่มีมากกว่ากันหลายขุม และต้องเผชิญกับขุนศึกที่เก่งกาจจบการศึกษาจบการคึกษาจากโรงเรียนายทหารชี้ นนำทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศ เหมาเจ๋อตงกลับไม่ละเลยที่จะงัดกลยุทธ์ตำรับโบราณออกมาใช้ให้จั๋งหนับ หยิบมาใช้เมื่อไร เป็นได้เรื่องทุกครั้ง เพราะเหมาไม่ได้ใช้อย่างทื่อๆตามตำรา แต่รู้จักปรับปรุงพลิกแพลงแต่งเติมเปลี่ยนตำราตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป

ขณะ นั้น เมื่อเขากุมอำนาจการชี้นำกองทัพแดงได้เด็ดขาดหลังจากการประชุมครั้งสำคัญที่ ตำบลจุนยี่ ระหว่างการเดินทัพทางไกล ขณะนั้น จอมพลเจี่ยงสั่งการด่วนให้ระดมกองทัพรัฐบาลทางภาคใต้ทั้งฟากตะวันออกและ ตะวันตกรวม 5 มณฑล กระจายกำลังกันโอบล้อมรุกคืบเข้า สู่ตำบลจุ่นยี่อันเป็นที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพแดงและเป็น ศูนย์รวมของบรรดาแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ ท่ามกลางเหตุการณ์สับสนอลม่านนี้เอง เหมาเจ๋อตง ผงาดขึ้นเป็นผู้นำอย่างแท้จริงในการสั่งการวางแผนรับศึกมหาโหดครั้งนี้

เหมา เจ๋อตงสั่งการให้เคลื่อนทัพขึ้นเหนืออย่างรวดเร็วเพื่อสลัดให้พ้นจากการตาม ล่าของเหล่าทหารรัฐบาลที่โอบล้อมเข้ามาเหมือนแหยักษ์ การ จะยกพลขึ้นเหรือต้องข้ามแม่น้ำฉางเจียง ซึ่งเป็นปราการธรรมชาติที่กั้นประเทศจีนออกเป็นเหนือกับใต้ การลองภูมิระหว่างจอมพลเจี่ยง กับเหมา เจ๋อตงครั้งแรก เกิดขึ้นในครั้งนี้

จอม พลเจี่ยงขึ้นชื่อเป็นขุนศึกอัจฉริยะคนหนึ่ง ซึ่งมีแผนการรบเหมือนเทวดา บอกให้ งานนนี้จอมพลเจ้าปัญญาต้องการเผด็จศึกคอมมิวนิสต์ให้ได้ในคราวเดียว จึงทุ่มเทพลมหาศาลนับแสนคนวางกำลังตรึงแม่น้ำฉางเจียงทางฝั่งเหนืออย่างไม่ ให้ปลาสักตัวขึ้นฝั่งมาได้เลย ขนาดปลาตัวกระจ้อยร่อยยังไม่อาจพ้นเงื้อมมือไปได้ เหมาเจ๋อตงจะนำทหารแดงนับหมื่นข้ามแม่น้ำได้อย่างไร

เหมา เจ๋อตง แทบจะไม่ได้แตะต้องอาหารใดๆเลย เขาต้องพิสูจน์ให้ทหารแดงเชื่อมั่นในตัวเขาให้ได้ในโอกาสแรกที่ตนเองกุม อำนาจการบัญชาการด้านยุทธการ จอมทัพเหมาสั่งให้ทหารแดงจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีกำลังพลไม่มากนักบุกเข้าทะลวงค่ายศัตรูที่ถู่เฉิงกับเมืองชิสุ่ย ซึ่งตั้งอยู่บริเวณรอบยตะเข็บมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) กับมณฑลกุ้ยโจว โถมกำลังเข้าตีอย่างเอาเป็นเอาตายให้เห็นว่า มีความปราถนาแรงกล้าที่จะยึดเมืองเล็กๆทั้งสองแห่งนั้นไว้ให้ได้ ทั้งนี้ เพื่อแสดงให้ฝ่ายรัฐบาลเข้าใจว่าทหารแดงกำลังรบอย่างจนตรอกและยอมตายเพื่อ อุดมการณ์ไม่คิดหนีสู้ไม่ถอย ฝ่ายจอมพลเจี่ยงไล่ล่า ทหารป่าตกหลุมพรางเข้าใจผิดว่า ทหารแดงคิดสู้ตายด้วยการตีเมืองทั้งสองแห่งนั้นอย่างดุเดือดจริงๆ จึงระดมพลยกกองทัพส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปช่วยทหารรัฐบาลที่อยู่เมืองถู่เฉิงกับ เมืองชิสุ่ย จังหวะสำคัญนั้นเอง เหมาเจ๋อตง ฉกฉวยนาทีทองนำกองทัพแดงส่วนใหญ่ชะแว้บผ่านการสกัดกั้นของทหารรัฐบาล ลุยข้ามน้ำชิสุ่ยหรือแม่น้ำแดงอันเป็นแควแยกของมหานทีแม่น้ำฉางเจียงไปได้ อย่างสะดวก ด้วยกลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเล ถึงแม้กองทัพแดงต้องสูญเสียไพร่พบส่วนหนึ่งไปในการบุกโจมตีเมืองเล็กๆสอง แห่ง แต่คำนวณและคุ้มค่าชีวิตมาก เมื่อกองทัพแดงส่วนใหญ่รอดพ้นเงื้อมมือมัจจุราชไปได้อย่างหวุดหวิดชนิดหายใจ คว่ำ ทหารแดงที่หลุดข้ามฝั่งแม่น้ำได้ จึงเลื่อมใส ศรัทธาในตัวของเหมาเจ๋อตงมากและยอมมอบกายถวายชีวิตให้แก่เหมาเจ๋อตงตั้งแต่ บัดนั้นเป็นต้นมา ทหารหัวเห็ดเหล่านั้นกลายเป็นกองทัพพิทักษ์เหมาในกาลต่อมา ซึ่งช่วยค้ำจุนบัลลังก์ให้เหมาเจ๋อตงกลายเป็นประธานเหมาผู้ยิ่งยง ตลอดอายุขัยที่เหลือนานกว่า 40 ปี การ เสียสละอีกครั้งของทหารเดงหน่วยนี้ ทำให้ทหารแดงส่วนใหญ่ที่ข้ามฟากไปแล้ว สามารถเดินรุดหน้าไปได้รวดเร็วจนทหารรัฐบาลตามไม่ทัน เพราะต้องพะวงกับทหารแดงหน่วยที่ข้ามกลับมาสกัดกั้นแบบยอมพลีชีพ

อเมริกาทิ้งระเบิดปรมณูกับเมืองฮิโรชิม่า


สหรัฐอเมริกาทิ้ง (ทดลอง) ระเบิดปรมณูกับเมืองฮิโรชิม่า จนเมื่อการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ประสบความสำเร็จ สหรัฐอมเริกาจึงเตรียมที่จะใช้อาวุธมหาประลัยนี้เผด็จศึกญี่ปุ่นโดยฝ่ายสัมพันธมิตรได้ยื่นคำขาดให้ญี่ปุ่นยอมจำนน แต่ญี่ปุ่นไม่สนใจ และแล้วในวันที่ 6 สิงหาคม1945 เครื่องบิน บี-29 ของสหรัฐอเมริกาชื่อ "เอนอลาเกย์"ก็ได้ปฎิบัติภารกิจครั้งประวัติศาตร์คือการนำระเบิดปรมณูไปถล่มเมืองฮิโรชิมา ระเบิดปรมณูลุกนี้ชื่อว่า"ลิตเติลบอย" มีแรงระเบิดขนาด 15 กิโลตัน หรือเทียบเท่ากับดินระเบิดทีเอ็นที 15000 ตัน ซึ่งประมาณระเบิดขนาดนี้หากใช้รถบรรทุกสิบล้อขน ก็ราว750 เที่ยวทีเดียว เมืองฮิโรชิมาเป็นเมืองที่มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่นและแม้ว่าชาวญี่ปุ่นจะรู้ล่วงหน้าว่าสหรัฐฯ จะทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ แต่ก็หามีใครตะหนักถึงอนุภาพของมันเมื่อเอนอลาเกย์ ถึงที่หมาย นักบินจึงปล่อยระเบิดนิวเคลียร์และรับออกจากที่หมายโดยเร็วที่สุด ระเบิดนิวเคลียร์เกิดปฎิกิริยาลูกโซ่และระเบิดกลางอากาศขณะที่ลอยอยู่เหนือเมืองฮิโรฮิมา ที่ความสูง 600 เมตรเกิดเป็นควันขาวอมเขียวพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นรูปดอกเห็ดสูงถึง 10กิโลเมตร อันเป็นลักษณะเฉพาะของระเบิดนิวเคลียร์และแสงสว่างอันเจิดจ้าพลังงานอีนมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยออกมาในรูปของแรงอัดอากาศ จากการระเบิดความร้อนและกัมมันตภาพรังสีโดยที่ศูนย์กลางของการระเบิดนั้นมีอุณห๓ูมิสูงถึง 3800 องศาเซลเซียส ผลการระเบิดทำให้เกิดแรงลมขนาด 1600 กิโลเมตรต่อชั่วโมงรุนแรงกว่าพายุเฮอริเคนที่รุนแรงที่สุดถึง 5 เท่า พลานุภาพของเจ้าเด็กน้อยลิตเติลบอย หรือระเบิดนิวเคลียร์ มากมายจนชาวญี่ปุ่นคิดไม่ถึงขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่น กำลังตื่นตระหนกต่ออำนาจของระเบิดนิวเคลียร์ประธานาธิบดี ทรูแมน แห่งสหรัฐอเมริกาก็ได้ยืนคำขาดอีกครั้งเพื่อให้ญี่ปุ่นยอมจำนนแต่โดยดีแต่รัฐบาลญี่ปุ่นเพิกเฉย ในที่สุด ทรูแมนจึงได้สั่งให้ทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ถล่มญี่ปุ่นเป็นลูกที่ 2และระเบิดลูกนี้ มีชื่อว่า "แฟทแมน"เพราะว่าขนาดอ้วนและใหญ่โตกว่าลูกแรกเป้าหมายของระเบิดลูกที่ 2 นี้ ก็คือเมืองนางาซากิ และแล้วในวันที่ 9 สิงหาคม ปี ค.ศ.1945 คืออีก 3วันถัดมาโศกนาฎกรรมของมนุษยชาติ อีกฉากหนึ่งก็ได้อุบัติขึ้น เมืองนางาซากิพินาศย่อยยับในพริบตาด้วยอำนาจของเจ้าคนอ้วน หรือแฟทแมนในที่สดุรัฐบาลญี่ปุ่นก็ประกาศยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขทั้งนี้เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนไว้ เพราะไม่แน่ว่าอาจจะมีระเบิดลูกที่ 3ตามมาอีกส่วนพิธีลงนามอย่างเป็นทางการนั้น ได้จัดขึ้นในปลายเดือนนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงแล้ว ผลของระเบิดนิวเคลียร์ทำให้เมืองฮิโรชิมามีผู้เสียชีวิตทันทีจากการระเบิด ประมาณ 70,000 คน มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตภายหลังในปีเดียวกันอีกราว 70,000 คนและผู้ที่เสียชีวิตภายหลังนี้ต้องได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสก่อนเสียชีวิต จากแผลไฟลวก และผลจากกัมมันตภาพรังสี และประมาณอีก 60,000คนเสียชีวิตในอีก 6 ปี ถัดมา ส่วนใหญ่เป็นผลจากกัมมันตภาพรังสีรวมแล้วมีผู้เสียชีวิตกว่า 200,000 คน ส่วนที่นางาซากินั้น มีชะตากรรมไม่แพ้กัน ผู้เสียชีวิตในทันที 70,000 คนบาดเจ็บอีกราว 80,000 คนซึ่งส่วนใหญ่เสียชีวิตในเวลาต่อมานอกจากนี้ผลของกัมมันตภาพรังสี ยังทำให้ผู้ที่ได้รับรังสีกลายเป็นมะเร็งในภายหลังได้อีกด้วยในส่วนนี้ไม่สามารถประเมินได้แน่นอนว่ามีจำนวนเท่าใดยังไม่รวมถึงความผิดปกติทางพันธุกรรมอันเป็นผลจากกัมมันตภาพรังสีที่ตกค้างอีกด้วย มีคนบอกว่า หลังจากที่ฮิโรชิมา โดนระเบิดไปในคราวนั้นแม้กระทั่งต้นไม้ ก็ยากที่จะมีโอกาสงอกขึ้นใหม่ ผู้คนอยู่ในอาการขวัญเสียมีคนเจ็บป่วยและรอคอยความตายมากมาย คนตาย ก็ตายไป คนอยู่ก็ต้องเจ็บปวดเพราะต้องสูญเสียคนที่รักไปต้องอยู่กับสภาพบ้านเรือนที่ผุพัง และแวดล้อมไปด้วยความทรงจำที่เลวร้าย การอยู่โดยการไม่เบียดเบียนกันและอยู่ด้วยความพอดี ดีที่สุดแล้ว

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

"สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า"แห่งอลาสก้า

เฟอร์ดินานด์ แมกเจลแลน ผู้เดินเรือรอบโลกสำเร็จเป็นรายแรกของโลก แต่ไม่เหลือชีวิตกลับมา


เฟอร์ดินานด์ แมกเจลแลน

เฟอร์ดินานด์ แมกเจลแลน (โปรตุเกส: Fernão de Magalhães; สเปน: Fernando de Magallanes; อังกฤษ: Ferdinand Magellan; ประมาณ พ.ศ. 2023 – 27 เมษายน 2064) เป็นนักเดินเรือชาวโปรตุเกส

เกิดที่เมืองซาโบรซาหรือโปร์ตู ประเทศโปรตุเกส หลังรับราชการทหารที่อินเดียตะวันออกและที่โมร็อกโก มาเจลลันได้เสนอตัวทำงานให้กับประเทศสเปน

มาเจลลันได้เดินเรือออกจากเมืองเซวิลล์ในปี พ.ศ. 2062 เลาะไปตามชายฝั่งของ อเมริกาใต้ (แหลมเวอร์จิ้น) จนถึงมหาสมุทรที่มาเจลลันตั้งชื่อว่า "แปซิฟิก" ในปี พ.ศ. 2063


แมกเจลแลนถูกฆ่าตายในฟิลิปปินส์ แต่เรือของเขาก็ได้เดินทางกลับไปถึงสเปนในปี พ.ศ. 2065 ซึ่งเป็นการบรรจบรอบของการเดินทางรอบโลกเป็นครั้งแรก

ชื่อของช่องแคบมาเจลลันเป็นการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา

เฟอร์ดินันด์ แมกเจลลัน มีชีวิตอยู่ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถและสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐาธิราช) สมัยอยุธยา

โคลอสเซี่ยม กรุงโรม สิ่งมหัศจารรย์ของโลก

การสำรวจทางทะเลในศตวรรษที่ 18 ของกัปตัน เจมส์ คุก

การเดินทางเพื่อการสำรวจทางสมุทรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ทางทะเลได้เริ่มต้นในประเทศอังกฤษโดยเรือ HMS Endeavor ซึ่งออกจากท่าเรือ Plymouth ในปี ค.ศ. 1768 ภายใต้การบังคับบัญชาของ กัปตัน เจมส์ คุก ซึ่งเป็นนายทหารเรือที่เฉลียวฉลาดและมีความเป็นผู้นำ ประกอบกับเป็นผู้มีความรู้ในหลายศาสตร์อาทิ การเดินเรือ แผนที่ นักเขียน ศิลปะ นักการทูต และนักโภชนาการ จุดประสงค์หลักของการเดินทางครั้งนี้คือเพื่อหาที่ตั้งฐานทัพของตนทางทะเลใต้ และนอกจากนี้ยังเป็นการหาข้อมูลทางด้านสมุทรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ทางทะเล ในช่วงเริ่มต้นกัปตันคุกได้เชิญนักวิทยาศาสตร์จาก The Royal Society ไปยังเกาะตาฮิติ เพื่อรวมสังเกตวงโคจรของดาวศุกร์ ซึ่งได้นำมาคำนวณหาค่าวงโคจรของโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีผู้ทำการคำนวณมาก่อนหน้านี้แล้วเช่น Sir Edmund Halley จากนั้นกัปตันคุกและคณะได้เดินทางลงไปทางซีกโลกใต้เพื่อทดสอบทฤษฎีที่ว่ายังมีแผ่นดินที่เป็นทวีปอยู่ทางซีกโลกใต้ ในสมัยนั้นนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าต้องมีแผ่นดินอยู่ทางซีกโลกใต้เพื่อให้มีความสมดุลกับซีกโลกเหนือ เขาได้สำรวจพบทวีปออสเตรเลีย แนวปะการัง The Great Barrier Reef และนิวซีแลนด์ โดยได้ทำแผนที่การเดินทาง รวมถึงบันทึกลักษณะของชนเผ่าพื้นเมืองที่อาศัยอยู่เดิมและทำการผูกมิตรกับหัวหน้าเผ่าพื้นเมือง กัปตันคุกเดินทางกลับประเทศอังกฤษในปี ค.ศ. 1771 การเดินทางครั้งนี้ได้สร้างชื่อเสียงให้เขาเป็นอย่างมาก ในปีต่อมากัปตันคุกได้รับหน้าที่ให้บัญชาการเรือ HMS Resolution and Adventure ไปทำการศึกษาทางสมุทรศาสตร์อีกครั้ง ในการเดินทางครั้งนี้เขาได้ทำแผนที่ของ Tonga และเกาะ อีสเตอร์ ค้นพบเกาะนิวคาลีโดเนียในมหาสมุทรแปซิฟิก และเกาะเซาท์จอร์เจียในมหาสมุทรแอตแลนติก กัปตันคุกเป็นคนแรกที่เดินเรือไปยังละติจูดสูงๆในซีกโลกใต้คือ 71 องศาใต้ แต่เขายังไม่ได้ค้นพบทวีปแอนตาร์คติก ในการสำรวจครั้งที่สองนี้กัปตันคุกเดินทางกลับอังกฤษในปีค.ศ. 1775 และในปี ค.ศ. 1776 ก็เป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของเขากับเรือ HMS Resolution and Discovery โดยเดินทางไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือไปยังแคนาดา อลาสก้า และไซบีเรีย เขาได้ค้นพบหมู่เกาะฮาวาย และทำแผนที่ชายฝั่งด้านตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ กัปตันคุกถูกฆ่าตายโดยชาวพื้นเมืองเกาะฮาวายด้วยความเข้าใจผิดในปี ค.ศ. ๑๗๗๙ เส้นทางการเดินทางของเขาแสดงไว้ในภาพ
กัปตันคุกได้รับเกียรติให้เป็นนักสมุทรศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเนื่องจากเขาได้บันทึกสิ่งที่เขาได้พบเห็น ไว้อย่างละเอียด เก็บตัวอย่างทั้งพืช สัตว์ทะเลและสัตว์บก บันทึกลักษณะของพื้นท้องทะเลและข้อมูลทางธรณีวิทยาในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้กัปตันคุกยังทำแผนที่การเดินทางของเขาโดยเฉพาะในมหาสมุทรแปซิฟิกไว้อย่างถูกต้องแม่นยำแผนที่ดังกล่าวนี้ได้ถูกใช้โดยฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง

มีคำถามว่ากัปตันคุกหรือโคลัมบัสทราบได้อย่างไรว่า ตำแหน่งที่เขาอยู่ในทะเลในเวลานั้นคือที่ใด ถึงแม้ว่าจะอาศัยแผนที่การเดินทางที่มีความถูกต้องเที่ยงตรง แต่ถ้านักเดินเรือไม่ทราบตำแหน่งที่เขาอยู่ในขณะนั้นเขาก็จะไม่สามารถเดินทางกลับบ้านได้หรือไม่สามารถกลับไปยังดินแดนที่เขาค้นพบใหม่ได้

คำตอบคือในเวลากลางคืน โคลัมบัสและนักเดินเรือรุ่นเก่าได้อาศัยแสงจากดาวฤกษ์เพื่อหาตำแหน่งละติจูด ซึ่งเขาจะทราบว่าตำแหน่งที่เขาอยู่นั้นอยู่ทางซีกโลกเหนือหรือซีกโลกใต้ ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายคือขณะที่อยู่ในซีกโลกเหนือ เราสามารถใช้เพียงไม้โปรแทรกเตอร์เพื่อหาละติจูดที่เราอยู่ได้โดยการวัดมุมในแนวระนาบระหว่างดาวเหนือกับตาของผู้สังเกต ส่วนในในซีกโลกใต้จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่มีความซับซ้อนมากกว่านี้

ปัญหาสำคัญในการเดินเรืออย่างแท้จริงก็คือการหาตำแหน่งลองติจูดของผู้สังเกตในขณะนั้น โดยเราสามารถหาลองติจูดได้โดยอาศัยนาฬิกา สิ่งแรกคือหาเวลาเที่ยงตรงในบริเวณนั้นซึ่งเงาของวัตถุใดๆจะสั้นที่สุดเนื่องจากแสงจากดวงอาทิตย์จะส่องออกมาเป็นมุมตรงพอดีและบันทึกเวลาในขณะนั้นไว้ และหลังจากเดินทางไปทางตะวันตกจากจุดสังเกตครั้งแรกเราจะพบว่านาฬิกาที่บอกเวลาเที่ยงตรงที่ตำแหน่งใหม่จะไม่ใช่เวลาเที่ยงตรง ณ จุดสังเกตครั้งแรก สมมติความแตกต่างของเวลาเที่ยงตรงของจุดแรกและจุดที่สองเท่ากับสามชั่วโมง เราสามารถใช้หลักคณิตศาสตร์ง่าย ๆ ในการหาตำแหน่งได้ว่าระยะทางระหว่างจุดแรกและจุดที่สองห่างกันกี่องศา

เนื่องจากโลกหมุนไปทางทิศตะวันออกและหมุนรอบตัวเองเป็นมุม 360 องศาในเวลา 24 ชั่วโมง ดังนั้นในเวลาสามชั่วโมงระยะห่างระหว่างจุดแรกกับจุดที่สองคิดเป็นมุมเท่ากับ 45 องศา ซึ่งหมายความว่าหากมีนาฬิกาที่มีความเที่ยงตรงมากเท่าไหร่การประมาณตำแหน่งลองติจูดก็จะมีความแม่นยำมากเท่านั้น ในปี ค.ศ. 1707 กองเรืออังกฤษภายใต้การนำของ Sir Cloudley Shevel ได้แล่นอยู่รอบเกาะซิซิลี เนื่องจากการกะตำแหน่งลองติจูดผิดพลาดทำให้หลงทาง หลายสัปดาห์ต่อมาเรือพร้อมด้วยลูกเรือ 2,000 คนได้หายสาบสูญไป กรณีดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่กองทัพเรืออังกฤษถือเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ในปี ค.ศ. 1714 รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศให้รางวัลสองหมื่นปอนด์ กับผู้ที่สร้างนาฬิกาที่มีความเที่ยงตรง ซึ่งในปี ค.ศ. 1728 John Harrison ได้ประดิษฐ์นาฬิกาต้นแบบที่มีความเที่ยงตรงสูงมากเรียกว่า chronometer นาฬิกาแบบดังกล่าวได้ถูกพัฒนาจนมีความสมบูรณ์แบบในปี ค.ศ. 1760 โดยมีความผิดพลาดเพียง 5 วินาทีต่อวัน

ภาพ โมนาลิซ่า(Mona Lisa)

โมนาลิซ่า(Mona Lisa) หรือ ลา โฌกงด์ (La Gioconda, La Joconde) คือภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร วาดโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ระหว่าง ค.ศ. 1503 ถึงปี 1507 เป็นภาพที่ทั่วโลกรู้จักกันดีภาพหนึ่ง ในฐานะสุภาพสตรีที่มี รอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์  กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

คำว่า โมนาลิซ่า นั้น ได้ถูกตั้งขึ้นโดย จอร์จีโอ วาซารี ศิลปิน และนักชีวประวัติชาวอิตาลี หลังจากดา วินชีได้เสียชีวิตไป 31 ปี ในหนังสือที่เขาตีพิมพ์นั้นได้บอกไว้ว่าผู้ที่นั่งอยู่ในรูปนั้นคือ ลีซ่า เกอราร์ดีนี ภรรยาของขุนนางนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ชาวเมืองฟลอเรนซ์นามว่า ฟรานเซสโก้ เดล กิโอคอนดา(Francesco del Giocondo)

คำว่า โมนา(Mona) ในภาษาอิตาลีนั้นก็คือคำว่า มาดอนนา(madonna) คุณผู้หญิง(my lady) หรือ มาดาม(Madam) ในภาษาอังกฤษ ดังนั้นความหมายของชื่อนั้นก็คือ มาดาม ลิซ่า แต่ในปัจจุบัน บางครั้งก็จะใช้คำว่า มอนนา ลิซ่า(Monna Lisa) แทน เนื่องจากภาษาอิตาลีคำว่ามาดอนนานั้น ส่วนมากจะใช้คำย่อว่า มอนนา(Monna)

ภาพโมนาลิซ่านี้ถูกวาดโดย ดา วินชี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1503 ถึง ค.ศ. 1507 ใช้เวลานานถึง 4 ปีในการวาด

ในปี ค.ศ. 1516(พ.ศ. 2059) ดา วินชีได้นำภาพจากอิตาลีไปที่ฝรั่งเศส ด้วยพระราชประสงค์ของพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 ที่ทรงปราถนาที่จะให้ศิลปินทั้งหลายมารวมตัวทำงานกันที่ Clos Luc ใกล้กับปราสาทในเมืองอัมบัวส์ และยังทรงให้ ดา วินชี วาดพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์อีกด้วย หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงซื้อภาพโมนาลิซ่า ในราคา 4,000 เอกือ

ในปี ค.ศ. 1519(พ.ศ. 2062) ดา วินชี ได้เสียชีวิตที่เมืองอัมบัวส์ ประเทศฝรั่งเศส รวมอายุได้ 63 ปี

ใบหน้าของมาดามลิซ่าในช่วงแรก ภาพโมนาลิซ่าถูกนำไปเก็บไว้ที่ พระราชวังฟงเตนโบล ต่อมาก็ในพระราชวังแวร์ซาย หลังจากสิ้นสุดการปฏิวัติฝรั่งเศส ก็ถูกไปนำเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ในห้องสรงของพระเจ้านโปเลียนที่ 1 ในพระราชวังทุยเลอรี แล้วในที่สุดก็ได้กลับมาที่พิพิธภัณฑ์เหมือนเดิม
ห้องแสดงในพิพิธภัณฑ์ในช่วงสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ระหว่างปี ค.ศ. 1870-ค.ศ. 1871 ภาพได้ถูกนำออกจากพิพิธภัณฑ์ ไปซ่อนไว้ในที่ลับในประเทศฝรั่งเศส

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1911 ภาพโมนาลิซ่าถูกโจรกรรมออกจากพิพิธภัณฑ์ ซึ่งกว่าจะค้นพบเธอก็ได้ใช้เวลาไปถึง 2 ปี ซึ่งได้พบในเมืองฟรอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ปัจจุบันเธอถูกดูแลรักษาอย่างดี ในตู้กระจกปรับอากาศกันกระสุน พิพิธภัณฑ์ลูฟร์

Mozart สุดยอดนักดนตรีระดับตำนานของโลก

หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของโลก

ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์พบว่า วิวัฒนาการของการเผยแพร่ข่าวสารบ้านเมืองผ่านตัวอักษรนั้นมีให้เห็นกันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ก่อนที่ โจฮานน์ กูเตนเบิร์ก จะสามารถผลิตแท่นพิมพ์เครื่องแรกของโลกได้สำเร็จในปี 1447 เสียอีก      
        "The Roman Acta Diurna" ได้รับการจดบันทึกให้เป็นต้นแบบของหนังสือพิมพ์ในยุคต้นๆ โดยถือกำเนิดขึ้นในช่วงราว 59 ปีก่อนคริสตกาล โดยจูเรียส ซีซาร์ ผู้นำอาณาจักรโรมัน       
       ซีซาร์ต้องการให้ "The Roman Acta Diurna" ใช้เป็นที่แจ้งข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวของรัฐบาล โครงการรณรงค์ทางด้านการทหาร กระบวนการพิจารณาคดี และการสำเร็จโทษต่างๆ ให้แก่พลเมืองได้รับทราบ ซึ่งลักษณะของการเผยแพร่ข่าวสารแบบ "The Roman Acta Diurna" ก็คือ การเขียนข้อความต่างๆ ลงบนกระดานขนาดใหญ่ แล้วนำไปตั้งไว้ตามสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน
      
        สำหรับการเผยแพร่ข่าวสารผ่านตัวอักษรลงบนกระดาษปรากฏให้เห็นครั้งแรกที่ประเทศจีนในราวศตวรรษที่ 8 โดยทางการจีนจะใช้วิธีเขียนข่าวสารลงบนกระดาษแล้วนำไปติดไว้ตามสถานที่สาธารณะต่างๆ อย่างที่เราเคยเห็นในหนังจีนกำลังภายในทั้งหลายนั่นเอง      
        ทว่า หลังจากที่กูเตนเบิร์กประดิษฐ์แท่นพิมพ์ได้สำเร็จ ชาวยุโรปก็เริ่มใช้วิธีการพิมพ์ข่าวสารแทนการเขียนด้วยลายมือ แต่ในยุคแรกๆ ของการถือกำเนิดสิ่งพิมพ์นั้น การเผยแพร่ข่าวสารยังคงอยู่ในรูปแบบของ "จดหมายข่าว" มากกว่า ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นข่าวสารด้านการค้าขาย      
        จวบจนกระทั่งในปี 1605 จึงได้มีการตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของโลกเกิดขึ้น โดยเป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ที่มีชื่อว่า "Relation" ถือกำเนิดขึ้นในประเทศเยอรมนี จากนั้นประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ฝรั่งเศส เบลเยียม อังกฤษ ก็เริ่มเอาอย่างบ้าง

การปกครองระบอบเผด็จการ

ความหมายของระบอบเผด็จการ

       ระบบการเมืองการปกครองแบบเผด็จการ หมายถึง ระบบการเมืองการปกครองที่ให้ความสำคัญกับผู้ปกครองหรือรัฐบาลมา กกว่าเสรีภาพส่วนบุคคล ประชาชนไม่มีสิทธิเข้าไปมีส่วนในการปกครอง เป็นแต่เพียงต้องปฏิบัติตามคำสั่งหรือนโยบายของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด

       ระบบการเมืองการปกครองแบบเผด็จการทุกรูปแบบ จะยึดหลักการที่เหมือนกัน    คือ ปรัชญาการใช้กำลัง ซึ่งถือว่าผู้เข้มแข็งมี อิทธิพลและกำลังย่อมมีสิทธิได้รับอำนาจการปกครอง โดยถือว่าอำนาจคือ ธรรม  แนวคิดในเรื่องเผ็ดการทางการเมืองส่วนใหญ่มักจะมองจากข้อเขียนและแนวปฏิบัติของ เบนิโต  มุสโสลินี  ผู้นำของ อิตาลี และ อดอร์ฟฮิตเลอร์  ผู้นำของเยอรมนีในช่วงสงครามครั้งที่สองแต่ความจริงเผด็จการมีมาแต่โบราณกาลแล้ว ซึ่งอาจแบ่งความหมายของเผ็ดการได้เป็น 3 ฐานะด้วยกัน คือ

              1.เผด็จการในฐานะที่เป็นแนวคิดทางการเมือง  แนวคิดทางการเมืองของระบอบเผด็จการเชื่อว่ารัฐเป็นเสมือนผู้ที่ เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมดี  ความถูกต้อง และความยุติธรรม รัฐเป็นผู้ถ่ายทอดความดีงามเหล่านี้ไปสู่ประชาชน  ประชาชนจึงมีหน้าที่ที่จะต้องเชื่องฟัง ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐ ส่วนตัวแทนของรัฐออกคำสั่งให้ประชาชนปฏิบัติตาม ก็คือ ผู้นำ ซึ่งอาจมีผู้นำที่มีอำนาจสูงสุดเพียงผู้เดียว  หรืออาจเป็นกลุ่มผู้นำก็ได้ อุดมการณ์ของระบบเผด็จ การนั้นถือว่าผู้นำเป็นผู้ที่มีลักษณะพิเศษ ที่สามารถล่วงรู้เจตนารมณ์ของประชาชนได้อย่างถูกต้องการกระทำได ของผู้นำจึงเป็นการกระทำไปด้วยเจตนารมณ์ของประชาชน   ผู้นำจึงอยู่ในฐานะที่ทำอะไรได้ทุกอย่างโดยไม่มีความผิด ฉะนั้นการ ที่มีผู้ขัดขวางหรือไม่เห็นด้วยกับผู้นำจะถูกกล่าวหาเป็นผู้หวังจะทำลายชาติและประชาชน
               2.เผด็จการในฐานะที่เป็นรูปแบบการปกครอง  การปกครองเผด็จการโดยทั่วไป  หมายถึงระบอบร่วมอำนาจของผู้ปกครอง คือ  ผู้ปกครองต้องยึดอำนาจรัฐไว้ได้  ส่วนใหญ่มักจะใช่วิธีการรุนแรงในการได้มาซึ่งอำนาจนั้น เช่น การทำรัฐประหารโดยผู้นำรัฐประหารหรือผู้นำเผด็จเหล่านี้พยายามใช่วิธีการทุกอย่างเพื่อที่จะรักษาอำนาจนั้นไว้ และขยายอำนาจเพิ่มมากขึ้นซึ่งอาจมีการจัดสรรตำแหน่งทางการเมือง ที่สำคัญๆในระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ผู้ใกล้ชิดหรือญาติมิตรคุมกองกำลังที่ มีอาวุธทั้งทหารและตำรวจ
              3.เผด็จการในฐานะที่เป็นวิธีชีวิต  หมายถึง ความเชื่อ ค่านิยม แนวคิด  ตลอดจนแนวปฏิบัติของคนในสังคม  ซึ่งอาจเป็นสังคมประชาธิปไตยก็ได้  โดยมีความเชื่อว่าคนเราเกิดมาแต่ละคนย่อมมีความแต่ต่างกันในทุก ด้าน  ผู้ที่ด้อยกว่าต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้  ที่เหนือกว่า ทั้งนี้ เพื่อจะให้สังคมอยู่รอดปลอดภัยและก้าวหน้าอย่างเป็นเอกภาพ ความเชื่อระบอบเผด็จการกลุ่มนี้จึงพยายามไม่ให้ความขัดแย้งขึ้น ในสังคมซึ่งเสมือนเป็นตัวบ่อนทำลายเสถียรของสังคมและนิยมใช้อำนาจในการ ขจัดขัดแย้งมากกว่าที่จะใช้วิธีการประนีประนอม

เจมส์ วัตต์ (James Watt) ผู้พัฒนาเครื่องจักรไอน้ำ

เฮอร์นาน คอร์เตซ ผู้พิชิตแดนเม็กซิโก ความพินาศของชนเผ่าแอซแทค

เมื่อพูดถึงชาวสเปนผู้พิชิตอาณาจักรต่างๆ ในดินแดนอเมริกาใต้กันแล้วละก็ " เฮอร์นาน คอร์เตส" ก็เป็นอีกนามหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขวัญกันมากที่สุดคนหนึ่ง ในยุค แห่งการสำรวจทางทะเล หรือดินแดนโลกใหม่ เมื่อช่วง 500 ปีที่แล้ว โดยชาวสเปนผู้นี้ สามารถพิชิต "อาณาจักรแอซเท็ก" หนึ่งในอาณาจักรอันเลื่องชื่อ แห่งแดนอเมริกาใต้ ได้อย่างราบคาบ คือ ทำให้อาณาจักรแห่งนี้ถึงกาลล่มสลายกันไปเลย ภายหลังจากคอร์เตส นำกำลังทหารชาวสเปนเข้าทำสงคราม ก่อนที่จะจับ กษัตริย์ม็อกเตซูมา ที่ 2 องค์ประมุขเป็นเชลย ส่งผลให้อาณาจักรแอซเท็กถึงกาลอวสาน เมื่อปี พ.ศ. 2064 จากการที่กองทัพสเปนภายใต้การนำของคอร์เตส ได้รับชัยชนะครั้งนี้ ก็เปรียบ เสมือนเป็นการเปิดประตูให้ทัพสเปนเดินทางรุกคืบยึดดินแดนบริเวณตอนในของเม็กซิโกต่อไป

ประวัติการสร้างกำแพงเมืองจีน

คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักสำรวจชาวอิตาเลียน ผู้ค้นพบทวีปอเมริกา

คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) นักสำรวจชาวอิตาเลียนผู้ค้นพบทวีปอเมริกาในยุคใหม่ เสียชีวิต  โคลัมบัสเกิดที่เมืองเจนัว ประเทศอิตาลีเมื่อปี 1994 ในสมัยนั้นผู้คนยังเชื่อว่าโลกแบน แต่โคลัมบัสต้องการค้นหาดินแดนแห่งเครื่องเทศและผ้าไหม ที่เรียกว่าอินเดียและจีน เขาจึงเสนอเป็นผู้สำรวจดินแดนดังกล่าวให้กษัริย์โปรตุเกสแต่ไม่สำเร็จ จึงเดินทางไปประเทศสเปนและเสนอตัวต่อ พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ ที่ 2 (Ferdinand II of Aragon) และ พระนางอิสซาเบลลา ที่ 1 (Isabella of Castile) เพื่อออกสำรวจอินเดียและจีน เพื่อทำการค้าเครื่องเทศและผ้าไหม ในที่สุด เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2035 โคลัมบัสและลูกเรือ 90 คนและเรืออีก 3 ลำออกเดินเรือค้นหาทวีปเอเชียและจีน โดยแล่นเรือไปทางทิศตะวันตกข้ามมหาสมุทรแอตแลนติค และไปถึง เกาะบาฮามาส์ (Bahamas) ทางตะวันออกของฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกาปัจจุบัน และตั้งชื่อว่า "ซาน ซัลวาดอร์" (San Salvador) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2035 ซึ่งเขาคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของเอเชีย จากนั้นเขาเดินเรือต่อไปจนถึงคิวบา ฮิสปานิโอลา เปอร์โตริโก จาเมกา ตรินิแดด เวเนาซุเอลา และคอคอดปานามา โคลัมบัสเชื่อมาตลอดจนเสียชีวิตว่าดินแดนที่เขาค้นพบนั้นคือทวีปเอเชีย ภายหลังได้มีการกำหนดให้วันที่ 12 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่โคลัมบัสมาถึงอเมริกาเป็น "วันโคลัมบัส" มีการเฉลิมฉลองกันในสหรัฐอเมริกาและประเทศต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

บอร์ด สปสช. อนุมัติกรอบวงเงินดูแลผู้ป่วยในสิทธิบัตรทอง

ที่มา : สำนักข่าวไทยออนไลน์ ประจำวันที่ ๕ มี.ค.๒๕๕๔
..........................................................................................................................................................
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังการประชุมบอร์ดสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ว่า ที่ประชุมบอร์ด สปสช.เห็นชอบอนุมัติกรอบวงเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ งบประมาณปี ๒๕๕๕  ที่กำหนดงบจ่ายรายหัว ๒,๗๕๕.๖๐  บาทต่อคน โดยจะเป็นงบประมาณเหมาจ่ายรวม ๑๐๐,๓๙๑,๑๓๑,๐๐๐ ล้านบาท ต่อประชากรจำนวน ๔๗,๓๓๓,๐๐๐ คน  เป็นงบประมาณ ด้านการดูแลสุขภาพผู้ติดเชื้อ ๒,๙๔๐.๐๕๕ ล้านบาท สำหรับประชากร ๑๕๗,๖๐๐ คน งบบริการสุขภาพผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ๓,๗๕๗.๗๙๓ ล้านบาท ต่อประชากร ๒๑,๔๗๖ คน งบบริการควบคุมป้องกันและรักษาโรคเรื้อรัง ๔๓๗.๗๙๕ ล้านบาท สำหรับประชากร ๑,๖๑๔,๒๑๐ คน งบบริการผู้ป่วยจิตเวช ๑๗๗.๑๔๑ ล้านบาท สำหรับประชากร ๑๑๑,๑๗๒ คน
ส่วนเรื่องของการลดความเหลื่อมล้ำระหว่าง ๓ กองทุน ทั้งสวัสดิการข้าราชการ กองทุนประกันสังคม และกองทุนประกันสุขภาพ ในเรื่องของการดูแลผู้บาดเจ็บกรณีฉุกเฉินนั้น ที่ประชุมได้มีการชี้แจงให้กับโรงพยาบาลในสังกัด ทั้งตำรวจ และกลาโหม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โรงพยาบาลเอกชนรับทราบ เพื่อให้เกิดการปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน โดยการรักษาเน้นการให้การดูแลรวดเร็ว ไม่มีการถามสิทธิ์ ไม่ต้องสำรองจ่ายเงินล่วงหน้า และใช้เพียงบัตรประชาชนใบเดียว. ( สำนักข่าวไทยออนไลน์/มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย ๕ มี.ค.๒๕๕๕)

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ

น้ำผลไม้ สดจากธรรมชาติ บำรุงผิว สุขภาพผิว ได้ผลเร็วกว่าครีมราคาแพง  ในผลไม้ทุกชนิดนั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสำคัญ ๆ  มากมายที่จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายได้โดยตรง  คนที่รับประทานผักสดและ ผลไม้สด เป็นประจำสม่ำเสมอทุก ๆ  วันนั้นสังเกตุได้เลยว่าจะเป็นคนที่มี สุขภาพผิว ที่ดี  แม้เป็นผู้ชายก็จะผิวสวย  ผุดผ่อง  มีน้ำมีนวล
          ผลไม้บางชนิดนั้นนอกจากรับประทานแล้วยังสามารถนำมาพอกทาใบหน้าเพื่อ บำรุงผิว ด้วยครีมต่าง ๆ  ซึ่งต้องการเวลาและมีราคาสูง  ถ้าคุณขยันก็ควรแบ่งเวลาสักไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่าสัปดาห์เพื่อพอกหน้าด้วยผลไม้  ผลที่ได้คือการ บำรุงผิว ดีที่
          สับปะรดสด ๆ  คั้นเอาแต่น้ำมาชโลมพอกทาใบหน้า  คนที่มี ผิวหน้ามัน จะได้ผิวที่ดี  สมดุล  จุดด่างดำ  และริ้วรอยต่าง ๆ จะหายไป (พอกนานประมาณ 20 นาที)

          แอปเปิลนำไปปั่นให้ข้น  ไม่ต้องให้เป็นน้ำ  หรือฝานเป็นชิ้นบาง ๆ  นำมาวางทั่วใบหน้า  หรือพอกหน้าไว้นาน  20  นาที  เหมาะสำหรับคน ผิวแห้ง  เพิ่มความชุ่มชื้นให้ใบหน้า  ผิวหน้า ที่ตากแดดตากลม มาก ๆ  ควร บำรุงผิว ด้วย  มะละกอสุก ที่คัดเมล็ดทิ้งแล้วปั่นหรือยีให้เละด้วยส้อม  นำมาพอกหน้านาน  15-20  นาที  ทำให้ ผิวหน้า ที่แห้งแตกเป็นขุย  ๆ  มีความนุ่มนวลและชุ่มชื่นขึ้น
          เปลือกมะนาวที่บีบน้ำออกแล้วนำมาถูคลึงเบา ๆ  ทั่วใบหน้าที่มันจะช่วยลดความมัน  ขจัดสิวเสี้ยน  เพิ่มความขาวนวลได้ดี  มะเขือเทศ  แตงกวา  น้ำผึ้ง  (เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง)  ปั่นละเอียดหรือฝานบาง ๆ  วางทั่วใบหน้าหรือพอกหน้านาน  20 นาที เป็นประจำทุก ๆ  1  สัปดาห์  จะช่วยขจัดริ้วรอยบนใบหน้า  เพิ่มความขาวเนียนผุดผ่องให้ใบหน้าได้อย่างดี  สิ่งที่บอกกล่าวนี้  ถ้าท่านทดลองทำดูก็ไม่น่าเสียหายเพราะเป็นการนำสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติมาประยุกต์ใช้กับร่างกาย  เป็นการธรรมชาติมาดูแล สุขภาพผิว ซึ่งไม่เป็นผลเสียใด ๆ

ลดน้ำหนักด้วยมะเขือเทศ

มะเขือเทศเป็นผักที่เราใช้แต่งสี กลิ่น และช่วยเพิ่มรสชาติของอาหาร มะเขือเทศสามารถนำไปทำอาหารได้หลายอย่าง เช่น ส้มตำ สลัดผัก ยำต่างๆ และในปัจจุบันนี้คนไทยได้หันมาให้ความสนใจกับมะเขือเทศมากขึ้น เนื่องจากได้มีการค้นพบว่า มะเขือเทศมีสารสำคัญ ที่ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งและช่วยชะลอความแก่   และสิ่งที่ทำได้อีกอย่าง  คือ  การลดน้ำหนักตัว ด้วยมะเขือเทศ  ซึ่งจะช่วยปรับระดับฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้รู้สึกอิ่มนาน ลดการบริโภคขนมขบเคี้ยวได้ดี  ซึ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกายของเรา
          ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการพบว่ามะเขือเทศเป็นอาหารที่ช่วยลดความอ้วน  และห่างไกลจากโรคอ้วนได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปพยายามลดอาหารและปล้ำออกกำลังกายจนหน้าดำหน้าแดงเลย  ซึ่งนักวิจัยมหาวิทยาลัยรีดดิงของสหรัฐฯ ได้ศึกษากับสตรี 17 คน โดยให้กินแซนด์วิชที่ทำด้วยขนมปังขาว ชนิดที่มีหัวผักกาดแดง หรือมะเขือเทศเป็นไส้เป็นอาหาร
          ปรากฏผลว่าผู้ที่กินแซนด์วิชที่ประกบมะเขือเทศ จะพากันรู้สึกอิ่มทนนานที่สุด และไม่ค่อยไปหาของขบเคี้ยวกินพร่ำเพรื่อ อันเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้อ้วนอย่างหนึ่ง  หัวหน้าโครงการ วิจัยเชื่อว่า เป็นเพราะมะเขือเทศมีส่วนประกอบที่ไปปรับระดับฮอร์โมน  จึงทำให้ไม่ค่อยรู้สึกหิว  ซึ่งการลดน้ำหนักตัว  หรือการลดความอ้วน  ก็อาจจะเป็นสิ่งที่มะเขือเทศทำได้อีกอย่างหนึ่ง

          ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นความจริงขนาดไหน  แต่ที่รู้แน่ ๆ คือมะเขือเทศมีผลดีกับสุขภาพร่างกายของเราแน่ ๆ  ถ้าเราได้รับประทานมะเขือเทศ  อย่างน้อย ๆ  ตามความเชื่อส่วนตัวของผมเอง  ซึ่งเชื่อว่าทานมะเขือเทศแล้วจะผิวสวย  ซึ่งถูกผู้ปกครองปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ๆ  ซึ่งจริง ๆ มะเขือเทศอาจมีประโยชน์มากกว่าที่เราคิด.

ลดน้ำตาลเพื่อสุขภาพ

  ลดน้ำตาล เพื่อ สุขภาพที่ดี  ระยะนี้สถานการณ์"น้ำตาล" ก็หวนกลับมามีประเด็น "ราคาแพง" อีกครั้ง ซึ่งก็ส่งผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ถึงเรื่องต้นทุนการประกอบอาหาร ถึงเรื่องราคาอาหารการกินของคนไทย อย่างไรก็ตาม ผลต่อเนื่องเรื่องนี้อาจจะไม่กระทบกับชีวิตคนไทยมากนัก หากคนไทยส่วนใหญ่ "ลดหวาน"  "อ่อนรสหวาน" สำหรับอาหารการกินต่าง ๆ มีผลดีน้ำตาลแพงก็ไม่กระทบ และที่สำคัญ "ดีต่อสุขภาพ" ทั้งนี้ ผมได้ไปอ่านเจอบทความหนึ่งจากข้อมูลของ สสส. ซึ่งมีการวางแผนงานรณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ระบุว่า ปัจจุบันน้ำตาลแฝงอยู่ในอาหารแทบทุกชนิด ในกลุ่มเด็กที่บริโภคน้ำตาลมากไปก็จะมีปัญหามาก เช่นฟันผุ โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ซึ่งพฤติกรรมการกินหรือนิสัยการบริโภคจะถูกปลูกฝังตั้งแต่ในวัยเด็กและติดตัวไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ ทั้งนี้ เด็กไทยในปัจจุบันบริโภคน้ำตาลเฉลี่ย 20 ช้อนชาต่อวัน ขณะที่หลักการบริโภคน้ำตาลไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน "เด็กไทยติดนิสัยกินหวาน บางบ้านลี้ยงลูกด้วยนมกล่องรสหวาน และจากสถิติก็พบว่าคุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่ที่มีบุตรหลานอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ร้อยละ 65 นิยมป้อนอาหารเสริมสำเร็จรูปซึ่งมีส่วนผสมของน้ำตาล" ซึ่งถ้าหากเราปลูกฝังให้ลูกหลาน กินอาหารหวานให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย ก็จะเป็นผลดีต่อ สุขภาพ ของเราทำให้ไม่เป็น โรคอ้วน ฟันผุ หรือ โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ